เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ นะ สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายอดเยี่ยม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพื่อมาค้นคว้าสัจธรรมอันนี้ไง
เวลาค้นคว้าสัจธรรมอันนี้ได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ ตรัสรู้ธรรมเสวยวิมุตติสุขๆ ไง มันสุขยอดเยี่ยม สุขเลอเลิศ สุขแบบสามโลกธาตุไม่มี
คำว่า “สามโลกธาตุ” นะ เวลาพรหมเขาอยู่บนพรหมเขามีความสุขของเขาหรือไม่ เทวดาเขาอยู่บนสวรรค์ของเขามีความสุขหรือไม่ นรกอเวจี เวลาตกนรกอเวจีมันมีความทุกข์ความยาก โดนไฟนรกเผาอยู่น่ะมันทุกข์หรือไม่ เวลาเกิดเป็นมนุษย์มันภพกลาง มีสิทธิเสรีภาพจะเลือกเอา บุญและบาป ดีและชั่ว
นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมๆ ขึ้นมา เวลาเสวยวิมุตติสุขๆ น่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมอันนั้นไง ถ้ากราบธรรมอันนั้น พระพุทธศาสนามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระธรรมๆ สัจธรรมอยู่ในตู้พระไตรปิฎกเอาไว้กราบกันไง เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาค้นคว้าของท่าน เวลาหลวงตาท่านพูด พระไตรปิฎกใน เวลาเปิดพระไตรปิฎกจากหัวใจขึ้นมาแล้ว มันเป็นสัจธรรมในหัวใจอันนั้นแล้วมันยิ่งใหญ่
เวลาพระไตรปิฎกในตู้ พระไตรปิฎกนอก ศึกษามาแล้วก็มาเถียงกันปากเปียกปากแฉะ ว่าฉันมีความรู้ ฉันมีความเข้าใจ มีความเข้าใจ ฉันเป็นคนดีไง นี่คนเข้าใจไง
เวลาชาวไร่ชาวนาเขาคดโกงกัน มันก็ในไร่นาของเขา ไอ้โจรใส่สูท โจรใส่สูทมันโกงทั้งชาติน่ะ นั่นน่ะมันมีปัญญาทั้งนั้นน่ะ มันศึกษามาเป็นดอกเตอร์ มันมีความรู้มหาศาล มันเอาแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวมันไง
นี่ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าฉันมีความรู้ๆ
ความรู้เอาไว้ทำไม
นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เวลาท่านกราบธรรมของท่าน สัจธรรมในหัวใจอันนั้นไง นี่ไง ในพระพุทธศาสนามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ สัจธรรมที่ความถูกต้องดีงาม
หลวงตาบอก เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม
เหตุและผลของปุถุชน เหตุและผลของกัลยาณชน เหตุและผลของพระโสดาบัน เหตุและผลของพระสกิทาคามี เหตุและผลของพระอนาคามี เหตุและผลของพระอรหันต์ เหตุและผลของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เหตุแต่ละบุคคลที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เหตุแต่ละบุคคลที่เขามีเหตุของเขา เขามีสัจจะของเขา มีคุณธรรมของเขา เขาทิ้งกิเลส เขาทิ้งเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาไง
บอกว่า “ฉันมีความรู้ ฉันมีความรู้ ฉันมีความรู้ ฉันเข้าใจ มันเป็นโลกุตตรธรรมๆ”
โลกุตตระมาจากไหน
โลกุตตระมันเกิดจากฐีติจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ครูบาอาจารย์ของเราให้ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบระงับแล้วมันมีสติมีปัญญาขึ้นมา มันเป็นสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา เป็นปัญญาอัตโนมัติ เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่จะแก้ไขกิเลสในใจของตน เห็นไหม
ที่เรามาวัดมาวาขึ้นมา เราก็มาเพื่อแสวงหาอันนี้ไง แสวงหาสัจธรรมความจริงอันนี้ แล้วสัจธรรมความจริงอันนี้มันจะเกิดขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นกลางหัวใจของเรา ถ้ากลางหัวใจของเราเป็นผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิที่มีความเห็นถูกต้องดีงาม อย่าให้กิเลสมันปิดหูปิดตาไง
ไปวัดไปวาก็ไปแย่งชิงกัน เข้าคิวก็จะลัดคิว ใครไปก่อนไปหน้าไง นั่นเป็นธรรมไหม
นี่ไง เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระธรรมๆๆ ถ้าเป็นพระธรรม สัจธรรมความยิ่งใหญ่อันนั้นไง ถ้าความยิ่งใหญ่อันนั้น เรามาฝึกหัดๆ ฝึกหัดก็เข้าแถวเรียงคิว อย่าไปแทรกอย่าไปแซงเขา ทำสิ่งใดก็ให้มันเป็นความเสมอภาค เรามาทีหลังเราก็อยู่ข้างหลัง ใครมาก่อนก็อยู่ข้างหน้า เว้นไว้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กน้อย คนชราภาพ
เวลาหลวงตาท่านอยู่ที่บ้านผือ เวลาท่านถือเนสัชชิกนั่งตลอดรุ่งๆๆ ใครจะมาอ้อนวอน ใครจะมาขอร้องสิ่งใดๆ ก็ไม่ได้ ใครจะมาติฉินนินทาสิ่งใดก็ไม่สนใจทั้งสิ้น แต่ท่านตั้งสัจจะในใจของท่านไว้ ๒ ประเด็น
ประเด็นหนึ่ง หลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วย ลุกได้
ประเด็นที่สอง พระในวัดมีปัญหา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพุทธะ มีสัจธรรมความเป็นจริงอันนั้นเป็นสัจธรรม มีพระอริยสงฆ์ เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราไง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งๆ ไง
แต่เวลาสัจจะความจริง สัจธรรมๆ เวลาหลวงตาท่านนั่งตลอดรุ่ง ใครจะไปทำให้ท่านออกนอกลู่นอกทางสิ่งใดไม่ได้เลย แต่เวลาท่านยกเว้นไว้ก็ยกเว้นแต่ครูบาอาจารย์ของท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา หรือหมู่สงฆ์มีปัญหาขึ้นมา เพราะท่านเป็นคนปกครองดูแลสงฆ์แทนหลวงปู่มั่นไง
หลวงปู่มั่นท่านเป็นประธาน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ แต่หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นคนคุ้มครองดูแล ท่านเป็นคนจัดการอยู่ในวัดนั้น ถ้าในวัดนั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นมา ท่านอนุโลมได้ นี่ไง สัจธรรมๆ สัจธรรมที่ยิ่งใหญ่มันยิ่งใหญ่กับหัวใจอันนั้นไง
เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราทำคุณงามความดีขึ้นมา เราจะไปอวดกัน ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นคนดี ฉันทำแต่คุณงามความดี ทุกคนต้องยกย่องสรรเสริญฉัน แหม! กิเลสมันฟูใหญ่เลย นี่ไง มันเป็นธรรมตรงไหน มันเป็นธรรมตรงไหน
สิ่งที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมก็เป็นสัจธรรมสิ ความถูกต้องดีงามเราก็รู้อยู่แล้ว นี่สัจธรรมของปุถุชน ของกัลยาณชน ของพระโสดาบัน มันละเอียดลึกซึ้งต่างๆ เป็นชั้นๆ ขึ้นไป
พระโสดาบันไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำในศีล มีความมุ่งหมายที่จะหลุดพ้นจากกิเลสไป มันละเอียดลึกซึ้งกว่าที่เราถือศีลๆ กันอยู่นี่มหาศาล มันเป็นอธิศีล ศีลที่ออกมาจากจิต มันไม่ใช่ศีลที่ว่าเวลาที่ไปขอศีล ๕ ก็ได้ สูญ ๕ เวลาไปขอศีล ๘ ก็ได้สูญ ๘ เวลาไปขอศีล ๑๐ ก็ได้สูญ ๑๐ สูญหมดเลยเพราะมันไม่ทำ
แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันปกติมันตั้งมั่นขึ้นมา มันไปคลอนแคลนอะไรกับศีล มันไปวิตกกังวลอะไรกับศีล มันไปเอาศีลมาทะเลาะเบาะแว้งกันทำไม มันจะไปเอาศีลมาฟาดหน้าตัวเองทำไม
ฉันถือศีล ฉันถือศีล ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ เพราะฉันถือศีล
ถือศีล เขาให้ทำ แต่ทำสัมมาทิฏฐิ ทำความถูกต้องดีงาม ทำความชอบธรรม
เวลาทำ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตาท่านพูด คนที่ว่าทุกข์ว่ายาก ที่ทำงานแล้วทุกข์ยากขึ้นมาอย่าเพิ่งพูดนะ ยังไม่ได้ภาวนาอย่าเพิ่งพูด ยังไม่ได้ภาวนา เพราะภาวนาเขาสละเป็นสละตาย ถ้าผู้ที่ภาวนาเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงาม
ไม่ใช่ภาวนาเพื่ออวดเขา ภาวนาไว้ออเซาะฉอเลาะ
โยมไม่มาภาวนาไม่ได้ พอโยมมาเดินจงกรมนะ “โอ้โฮ! โยม อาตมาเดินจงกรมเหนื่อยมากเลย” นั่นน่ะมันฉอเลาะไง ภาวนาฉอเลาะออเซาะ ไร้สาระ
แต่เวลาคนเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถ้ายังไม่ได้ภาวนาอย่าเพิ่งพูดว่าทำงานหนัก ท่านบอกว่าการประพฤติปฏิบัติของเราเอาชีวิตเข้าแลก เอาชีวิตเข้าแลกเลย นี่ไง เอาชีวิตเข้าแลก
แต่ถ้าเป็นทางโลก โฮ้! บวชเป็นพระหัดเป็นคนขี้เกียจ กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน กินเสร็จแล้วก็นอน นอนจำวัดกันทั้งวันนะ แล้วยังต้องไปส่งเสริมให้มันอ้วนๆ กิเลสมันยิ่งใหญ่น่ะ
นี่ไง เขาพูด งานของพระไง นี่ไง ที่ว่างานของพระๆ
พูดถึงว่าเวลางานของโลก ปุถุชน กัลยาณชน พระโสดาบันจะสิ้นไปจากกิเลส เขามีความมุมานะของเขาขนาดไหน แล้วเวลาเขาทำขึ้นมา ถ้าทำออเซาะฉอเลาะขึ้นมากิเลสมันยิ้ม มันรู้เลย ไอ้นี่หลอกง่ายๆ หลอกให้มันฮึกเหิมนะ แล้วพอไปถึงจนตรอกแล้วเดี๋ยวมันก็เลิก พอเลิกแล้วมันก็เป็นกรรมฐานม้วนเสื่ออยู่ในใต้อำนาจของเรา กิเลสมันยิ้มๆ เลยน่ะ ไอ้พวกฟุดฟัดฟุดฟิด กิเลส เออ! ไอ้พวกไฟไหม้ฟางมาได้เลย เดี๋ยวมันก็ล้ม
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น การสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้นนะ อุทกดาบส อาฬารดาบสเป็นผู้ที่ค้ำประกันนะว่าได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เสมอเรา เป็นอาจารย์สอนได้ยิ่งใหญ่มาก
เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา มีคนมาค้ำชู มีคนมาอุ้มชู มีคนมาส่งเสริม ยกย่องสรรเสริญแค่ไหน เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย ไม่สนใจเพราะอะไร ไม่สนใจเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรายังมีอยู่ เรารู้ได้ เรามีความหงุดหงิด เรามีความไม่พอใจ เรามีความทุกข์ร้อนในใจ เรามีความคิดเลวทรามในใจ เรารู้ได้ ความลับไม่มีในโลก ไม่ต้องให้มีใครบอกไง
ดูสิ ขนาดมาค้ำชูอุ้มชูขนาดนั้น เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย เวลาเจ้าชายสิทธัตถะจะมาทำของเจ้าชายสิทธัตถะเสียเอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติได้ รู้ไปหมด รู้ความลับของคนอื่น รู้ไปหมดเลย เที่ยวจะไปแฉเขาหรือ จุตูปปาตญาณรู้ว่าสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ไหน รู้ไปหมด แล้วมันได้อะไรขึ้นมา เพราะอะไร เพราะถ้าหลงติดตรงนั้นก็จะไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาอาสวักขยญาณ อาสวักขัย กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ความอีโก้ ความยิ่งใหญ่ในใจนั้นน่ะ เวลาสัจธรรมมันทำลายอันนั้น อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจของตน ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายภพ ทำลายสถานที่ ทำลายต่างๆ กิเลสไม่มีที่อยู่
กิเลสมันอาศัยหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่อยู่ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ภพคือจุติ คือฐีติจิต ภพมันอยู่ที่นั่น
ภพไม่ใช่ว่าเกิดเป็นคนไทย คนจีน คนลาว เกิดเป็นคนสัญชาติใดมันภพชาติ ไม่ใช่
ภพคือมีผู้รู้ มีความรู้สึก มีฐีติจิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปทำลายภพ ทำลายชาติ กิเลสมันไม่มีที่อยู่ที่อาศัยนะ
พญามาร ลูกสาวของมาร ลูกหลานของมารร้องห่มร้องไห้ ไม่มีที่อยู่ โดนเผาบ้าน บ้านโดนทำลายไง เรือนสามหลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ยอดของเรือนสามหลัง ปราสาทสามหลัง เราได้หักหมดแล้ว
ปราสาทสามหลังก็ทำลาย เรือนเหย้าก็ทำลาย ที่อยู่อาศัยของมารมันไม่มี มันร้องห่มร้องไห้ มันจะหาที่อยู่ของมันน่ะ ไม่มี ไม่มี
กราบธรรมๆ สัจธรรมมันยิ่งใหญ่อย่างนี้ไง ถ้าสัจธรรมมันยิ่งใหญ่อย่างนี้ มันอยู่ที่การกระทำไง ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เราจะขวนขวายมากน้อยแค่ไหน เรามาวัดมาวาขึ้นมา เราก็มาขวนขวายของเราอย่างนี้ไง เรามาขวนขวายหาความจริงไง
เราไม่ใช่เอากิเลสมาฟาดฟันกัน มาถึงก็จะลัดคิว เขานั่งกันเฉยๆ ฉันก็จะส่งเสียงดัง เป็นจุดเด่นไง หลวงพ่อเป็นจุดเด่น พอหลวงพ่อแล้วก็เป็นหนู เพราะหนูเสียงดังที่สุดเลย หนูอยากอวดตัวเลย
ไร้สาระ เป็นธรรมไม่เป็นธรรม
เราต้องการความเป็นธรรม ถ้าเราต้องการความเป็นธรรม เราต้องเป็นธรรมจากเรา ถ้าเราเป็นธรรม เห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำ ธรรมะเป็นของจริง คนไม่จริงเข้าธรรมะไม่ได้ คนไม่จริงเข้าสู่สัจธรรมอันนั้นไม่ได้ หัวใจของเราไม่จริงจะรองรับสัจธรรมอันนี้ได้อย่างไร เราถึงต้องมาทำความสงบของใจด้วยกัน
ทุกคนเวลาเข้ามาประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีสมาธิจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิเกิดปัญญาตรงไหน ปัญญาก็เป็นสัญญาทั้งนั้น โลกทัศน์ โลกทัศน์นี่ความรู้สึกของเราทั้งนั้น มันจะเอาความจริงมาจากไหน
แล้วเวลาทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามามันเป็นจริตนิสัยแล้ว พันธุกรรมของจิตๆ มันชอบไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกัน นิสัยไม่เหมือนกัน จะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิภาวนา จะยืน เดิน นั่ง นอนต่างๆ จะทำอย่างไรให้มันสงบเข้ามา ทุกคนก็ต้องพยายามขวนขวายของตัวเองเข้ามา ถ้ามันสงบเข้ามาแล้ว ถ้ามันสงบระงับตามความเป็นจริง ให้มันรู้จริง อย่ามึนๆ
ที่ทำกันอยู่นั้นไม่ใช่สมาธิ สบายใจ มันเป็นความสบายใจนะ ความสบายใจเพราะอะไร เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือสัจจะ อริยสัจจะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
พวกเรามีความทุกข์อยู่ทั้งนั้น เหมือนกับฉลากยา เราอ่านได้ทั้งนั้นน่ะ พระไตรปิฎกนอก พระไตรปิฎก สัจธรรม ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด อันนี้เป็นความจริง แต่มันชี้เข้าไปที่ใจ
พระไตรปิฎกนอกเราไปศึกษาไปค้นคว้าแล้วก็มาเถียงกันปากเปียกปากแฉะ แต่ไม่สามารถเปิดตู้พระไตรปิฎกในหัวใจได้ ไม่มีใครสามารถเข้าสู่ใจของตนแล้วเปิดตู้พระไตรปิฎกได้
ดูสิ ประวัติหลวงปู่มั่นน่ะ เวลาท่านเกิดนิมิตที่ท่านก่อนจะภาวนา ท่านเห็นว่าท่านขี่ม้าขาวข้ามขอนชาติคือสิ้นกิเลส แล้วไปข้างหน้าจะไปเปิดตู้พระไตรปิฎก ไปถึงไม่ได้เปิด เพราะไปถึงแล้วออกจากนิมิตนั้นก่อน
ถ้าได้เปิดตู้พระไตรปิฎกอันนั้น หลวงมั่นจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก เพราะอะไร เพราะมันเปิดตู้พระไตรปิฎกใน ตู้พระไตรปิฎกของฐีติจิตของตนเอง ของผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการมา
นี่ไง เวลาสัจจะความจริง สัจจะความจริงมันอยู่ที่นี่ไง นี่ไง เราไปวัดไปวาก็ไปวัดไปวาเพื่อเหตุนี้ไง ไปวัดไปวาเพื่อสัจธรรม เราไปวัดเพื่อสัจธรรม เรายอมลงสู่ธรรม เรายอมธรรมะ เรายอมความจริง เรายอมเหตุและผล เราไม่เอาทิฏฐิมานะเราไปกีดไปขวางไปทำลาย
เราไปวัดแท้ๆ ไปแซงคิวกัน ไปแย่งชิงกัน
เฮ้ย! มึงมาวัดหรือมึงมาซ่องโจรวะ มาวัดนะเว้ย เขามาวัด มาวัดใจของตนว่าใจของเรายิ่งใหญ่หรือไม่
เด็กน้อย ผู้เฒ่าผู้แก่ เชิญครับ ให้ไปข้างหน้าก่อน เราเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เรามีเวลาอดทนได้ เราอยู่ทีหลังได้ เด็กน้อย ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เชิญ เราอยู่ของเราได้
เวลาแสดงธรรม เราควรจะสงบระงับเพื่อสัจธรรมอันนั้นเข้ามากระทบโสตของตน เข้ามากระทบโสตของตน ใจมันฟังหรือไม่ ใจมันรับหรือไม่
มันกระทบโสตแล้วก็ “หลวงพ่อขี้โม้ วันๆ มีแต่โม้”
ไอ้พวกขี้โม้นั้นน่ะ เหตุผลมันจะทำให้ไอ้ขี้โม้นั้นหกล้มไป เวลามันขี้โม้เพราะอะไร เพราะคำพูดเป็นเจ้านาย สิ่งที่พูดออกไปมีเหตุผลหรือไม่ มันเป็นความจริงหรือไม่ มันเข้าไปหักล้างผู้ที่พูดนั่นน่ะ
ผู้ที่พูดพูดออกไปจากความว่างเปล่า พูดออกไปจากสิ่งที่ไร้สาระ กับผู้ที่พูดออกไปจากสัจจะความจริงที่มันล้มลุกคลุกคลานมา ล้มลุกคลุกคลานนะ
ถ้ายังไม่ได้ภาวนาเอาจริงเอาจัง อย่าเพิ่งพูดว่าเราเกิดมาเราทุกข์เรายาก
กิเลสยิ่งใหญ่นัก ความชอบของตน อีโก้มันไม่ให้ใครไปลูบหน้ามัน มันไม่ให้ใครไปเห็นมันเด็ดขาด ฉะนั้น การที่จะภาวนามันต้องรู้จักกิเลส เห็นกิเลส แล้วฆ่ากิเลสตามความเป็นจริง
ไอ้ที่ทำๆ กันอยู่นี่ท่องมา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการมา ท่องมา ท่องมาเป็นตรรกะ แล้วก็เป็นจินตนาการ แล้วพูดแล้วเข้าใจได้เพราะเป็นสมมุติ เกิดจากจิต เกิดจากภาษามนุษย์ มนุษย์รู้ได้ ไม่ใช่เกิดจากภาษาธรรม
เกิดจากภาษาธรรมมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะใจดวงนั้น ใจดวงนั้นรู้แจ้ง รู้แจ้งเพราะเห็นหน้ากิเลส ชำระกิเลส จนครอบครัวของมาร เวลาพญามาร นางตัณหา นางอรดีเห็นพญามารนั่งคอตก “พ่อเป็นอะไร พ่อเป็นอะไร” “โอ้! เจ้าชายสิทธัตถะหลุดจากน้ำมือเราไปแล้ว” “พ่ออย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวจะไปยั่วยวนเย้ายวนเอากลับมาให้เอง”
ครอบครัวของมารคอตกนะ เวลาสัจจะความจริง ครอบครัวของมารมันอยู่บนภวาสวะ อยู่บนภพ อยู่บนสถานหัวใจของคนมันคอตกนะ คอตกจากความเพียรของบุคคลคนนั้นไง คอตกจากความจริงของคนคนนั้นไง คอตกจากหัวใจดวงนั้นที่ยิ่งใหญ่ไง
หัวใจที่ยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หัวใจที่ยิ่งใหญ่ของครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา เอาตามความเป็นจริงมา
ที่เราไปวัดไปวา เราจะไปเสริมกำลังให้หัวใจเรายิ่งใหญ่ ให้หัวใจเรามีกำลัง ให้หัวใจเราไม่ให้กิเลสมันชักนำไป ให้หัวใจเรามันฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรม
เห็นไหม ฟังธรรมๆ เสียงมาถึงโสตประสาทของตน ยอมรับหรือไม่ มีเหตุหรือผลหรือไม่ กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ให้หาเหตุหาผล ให้ค้นคว้า ให้จับผิดให้ได้
หลวงตาท่านพูดประจำเวลาท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า ให้ถามปัญหามาให้เราจนสิวะ ให้คนถามปัญหาเรื่องธรรมะให้ท่านจนเสียทีวะ ท่านรออยู่นี่ มันไม่มี มันมีแต่คนตาบอด มีแต่คนพาล เฉียดไปเฉียดมาแล้วก็ไปติเตียนท่าน ติเตียนท่านเสร็จแล้ว พอมารู้สำนึกก็ไปขอขมา แล้วก็ติเตียน แล้วก็ขอขมา แล้วก็ติเตียน แล้วก็ขอขมา นั้นคือนักปราชญ์ เอวัง